interview : 'DOMINIQUE' ประสบการณ์ขนหัวลุกของเพื่อนผู้ไร้ศาสนา (Irreligion)
- 21
- 20 ต.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 20 ต.ค. 2564
ในช่วงบ่ายวันอังคารของสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนเรื่องราวขนหัวลุกกับเพื่อนในสาขาเดียวกัน 'DOMINIQUE' หรือ 'ฝ้าย' เพื่อนตัวน้อยน่ารักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใส ฝ้ายพูดเสียงเจื้อยแจ้วขัดกับบรรยากาศเรื่องที่เล่าให้เราฟัง แน่นอนว่าเราคงไม่พลาดที่ซึมซับบรรยากาศนั้น บรรยากาศ ผี ๆ นั่นล่ะ
"แล้วอยู่ดี ๆ คืนนั้นมันก็เป็นคืนที่แปลก ๆ อากาศมันหนาวมาก ขาเราเริ่มชา แล้วมันก็เหมือนกับมีคนมาดึงขาเราจากที่นอน ดึงเพื่อจะลากเราไปจากเตียง"
"เห้ย จริงดิ" เป็นคำที่เราอุทานออกไปด้วยความอิน หลังจากชวนฝ้ายเล่าประสบการณ์เรื่องผี ไม่รู้ว่าภาพในหัวที่เราคิดจะเหมือนกับที่ฝ้ายเจอมั้ย แต่ได้ยินแบบนี้ก็น่าหวั่นอยู่ใจเหมือนกัน ฝ้ายร่ายยาวเกี่ยวกับประสบการณ์ขนหัวลุกเพียงหนึ่งเดียวของเธอ เธอไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องผี ๆ มากนัก แต่ก็บอกได้เลยว่าประสบการณ์หนึ่งเดียวของเธอก็น่าขนลุกไม่เบา แม้เราจะกลัวขนาดไหนกลับตรงกันข้ามกับฝ้ายที่เล่าต่อว่ามันน่าหงุดหงิด ในช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจากการเรียนทั้งวันเธอก็อยากจะนอน แต่กลับมีอะไรมาดึงขา ถามน้องน้องก็บอกว่าไม่ได้ดึง งั้นจะเป็นใครได้ ฝ้ายก็พอจะรู้อยู่ว่าคืออะไร แต่เธอก็ไม่ใส่ใจเพราะความเหนื่อยมันมีมากกว่า
แล้วคิดว่าที่เจอ 'ใช่' แน่ไหม
ฝ้ายไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ที่เล่ามาก็คงบอกได้แล้วว่าใช่หรือเปล่า แต่เรื่องน่ากลัวมันต้องมากกว่าหนึ่ง จะจบแค่นั้นไม่ได้ เราเลยขอฟังประสบการณ์ขนหัวลุกของคนรอบตัวฝ้าย เธอก็ยินดีที่จะเล่า เรื่องราวของแม่ที่โดนผีอำบ่อย ๆ เรื่องอาจจะไม่ได้น่ากลัวสิบกระโหลกอะไรขนาดนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่แม่ของฝ้ายเจออยู่บ่อย ๆ ฝ้ายเล่าว่า "แม่เราจะชอบเจอผีอำอยู่บ่อย ๆ แล้วมันจะต้องเป็นผีเด็กทุกครั้งที่มาอำแม่ เราเป็นคนย้ายบ้านบ่อย ไม่ว่าจะย้ายไปบ้านไหนแม่ก็จะโดนผีอำ วันนั้นแม่อยู่บ้านคนเดียว นอนอยู่บนโซฟา แล้วก็เหมือนมีเด็กมาเดาะลูกบอลอยู่ข้าง ๆ หัว หรือบางทีวิ่งเล่นรอบตัว แม่ฝันหรือเจอเรื่องแบบนี้บ่อย แต่ก็ไม่ได้กลัวแล้ว" เราที่ได้ฟังประสบการณ์ขนหัวลุกจากฝ้ายทั้งสองเรื่องก็อดกลัว อดคิดภาพตามไม่ได้ พอเป็นเรื่องผีภาพในหัวจะชัดเจนเสมอเลย เพื่อน ๆ คิดเหมือนเรามั้ย
"ชอบนะ เราเป็นคนชอบฟังเรื่องผีมาก แต่ไม่ใช่ว่าเอะอะก็เข้าไปฟัง"
มากกว่าการเล่าเรื่องผีของฝ้าย เราก็รับบทเจ้าหนูจำไมถามฝ้ายไปอีกว่าเป็นคนชอบฟังเรื่องอะไรแบบนี้มั้ย ฝ้ายก็ตอบมาว่าชอบ แต่ไม่ได้ฟังตลอด ไม่ได้ฟังเป็นงานอดิเรก แค่เวลาเพื่อนจะเล่าหรือใครจะเล่าฝ้ายก็จะสนใจและชอบฟังแบบนั้นมากกว่า เราก็คิดไปว่าฝ้ายคงชอบฟังเรื่องผีแต่แค่ในโอกาสที่มีให้ฟังและก็จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์บางอย่างที่ไม่เคยเจอด้วยตัวเองเหมือนที่คนอื่นเจอ ก็คงจะจริง พอเป็นเรื่องผีเราก็หูผึ่งอยากจะเข้าไปฟังทันที เพราะเราก็เป็นนักเก็บเกี่ยวประสบการณ์ขนหัวลุกเช่นกัน
คิดว่าผีประเทศไหนน่ากลัวที่สุด
"ก็ต้องเป็นผีไทยอยู่แล้วปะ" ฝ้ายพูดแบบขำ ๆ เราก็ขำตาม เหมือนเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม แต่คุยไปคุยมาดันลงเอยด้วยการเพิ่มผีประเทศเพื่อนบ้านลงลิสต์ความน่ากลัวด้วย ผีเขมร ผีพม่า ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน ฝ้ายบอกว่าจากที่ฟัง ๆ มาผีเขมรก็มีอิทธิพลต่อจิตใจที่ทำให้เธอรู้สึกหลอนได้จริง ๆ เพราะผีมันมาพร้อมกับไสยศาสตร์ของดำ ด้วยความที่ฝ้ายบ้านอยู่ต่างจังหวัด มีชาวเขมร ชาวพม่าเยอะ พอได้เห็นความเป็นมาเป็นไปและการใช้ชีวิตของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์มันก็เลยน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ถ้าเทียบกับของตะวันตกที่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวปีศาจ ซาตาน ฝ้ายขยายให้เราเข้าใจมากขึ้น เราเห็นด้วยกับฝ้ายทุกประการ แน่ล่ะ ผีไทย ผีเขมร ผีพม่า สำหรับเราก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่คุยกันมาพอสมควรเราก็เริ่มเข้าคำถามที่เราอยากรู้มากที่สุดเราเกริ่นถามฝ้ายเพื่อความชัวร์อีกครั้ง "แกไม่ได้นับถือศาสนาใช่ปะ" ฝ้ายตอบว่า ใช่ คำเดียวที่ทำให้เราไปต่อได้
" เคยถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ถ้าเกิดเจอผีขึ้นมาจะทำยังไง เพราะเราไม่ได้เชื่อในศาสนาขนาดที่จะต้องท่องมนต์อะไรแบบนนั้น"
ในฐานะของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนา ถ้าในเรื่องผี ถือว่าเราเอาอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจหรือลบล้างความกลัวนี้ได้
"เออใช่มั้ย" ฝ้ายตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นกว่าเดิม แล้วก็เล่าต่อว่าพอนึกมาถึงขั้นนี้แล้วในเมื่อเธอไม่ได้เชื่อในศาสนาก็เชื่อในวิทยาศาสตร์แทนเสียเลย คิดซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องผี แต่เป็นเรื่องของพลังงานบางอย่างที่เธอไม่รู้หรือไม่ก็เป็นความเหนื่อยล้าบางอย่างที่ทำให้คิดไปเอง แล้วด้วยความที่ฝ้ายไม่ได้สนใจในเรื่องของศาสนาอยู่แล้วเลยไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับอะไรขนาดนั้น อย่างที่เรารู้ว่าสิ่งลี้ลับมักมาคู่กับศาสนา พอฝ้ายไม่ได้นับถือซะแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัว เราก็แอบคิดว่านี่คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลบล้างหรือน่ากลัวของผีได้ แต่ฝ้ายก็ย้ำกับเราว่า "เราชอบฟังเรื่องผีนะ เราไม่ได้ลบหลู่หรือไม่เชื่อว่าผีมีจริง ซึ่งอาจจะมีอยู่จริง แต่ตัวเราเองไม่ได้มองว่าเรื่องนั้นคือเรื่องผี แต่เรามองว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดจากความผิดพลาดในการรับรู้ของเรามากกว่า สมมติเราเจอเรื่องที่แบบอยู่ดี ๆ ของตก ความคิดแรกในหัวคือลมมันพัดหรือไม่ก็ของมันจะตกอยู่แล้วไม่ได้คิดเรื่องผีสักนิด แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะคิดว่าผีมาหลอก" เราที่นั่งฟังสักพักก็เข้าใจในสิ่งที่ฝ้ายจะบอก ฝ้ายคงจะมีความคิดหรือความเชื่อบางอย่างที่ดูมีความคาบเกี่ยวกัน อาจจะเอะใจที่ฝ้ายเล่าเรื่องผีให้ฟังทั้ง ๆ ที่ไม่เชื่อ แต่เราก็คิดว่ามันเป็นมุมมอง เป็นความรู้หรือเป็นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับฝ้าย ฝ้ายรู้ดีว่าตัวเองคิดและเชื่อแบบไหน เราก็เข้าใจฝ้ายมากขึ้นในฐานะของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนา
พอมาตกตะกอนความคิดแล้วเราก็อาจจะมองได้อีกมุมว่าผีจะมีจริงหรือไม่จริง คงอยู่ที่ใจของเราด้วยมั้ง ถ้าเราเชื่อว่ามีมันก็มี ถ้าเราเชื่อว่าไม่มีมันก็ไม่มี ไม่มีในที่นี้คือไม่มีผลต่อจิตใจของเรา แต่ที่แน่ ๆ นะ เราได้รับประสบการณ์และมุมมองอีกแบบจากฝ้ายมาเต็มเปี่ยม
ประสบการณ์ขนหัวลุกสุดพิเศษของเพื่อนผู้ไร้ศาสนา ดูเหมือนจะต้องจบลงเพียงเท่านี้
ไว้เจอกันโอกาสกันหน้านะ (;
ขอบคุณเรื่องราวสุดพิเศษจาก
Comments